Monday, June 24, 2013

ออกกําลังกายง่ายๆที่บ้าน : ดีต่อร่างกายและสามารถทำได้ทุกวัน

ออกกําลังกายง่ายๆที่บ้าน

การออกกําลังกายง่ายๆที่บ้านนั้นหลายๆคนไม่ให้ความสำคัญกับมัน อาจจะด้วยเพราะความสะดวกสบายในบ้านมีให้ทำมากมายจึงทำให้ขี้เกียจที่จะออกกำลังกายที่บ้าน แล้วหันไปพึ่งฟิตเนตตามห้าง ตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งจริงๆแล้วนั้นมันก็ไม่ได้ต่างกับการออกกำลังกายที่บ้านเลย เพียงแต่เหมือนการที่เราไปออกกำลังกายนอกสถานที่นั้นมีแรงจูงใจให้ทำมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะหากเรามีความตั้งใจจะลดน้ำหนักและช่วยกระชับผิวของตัวเองแล้ว จะที่บ้านหรือที่ไหนก็ดีทั้งนั้นขอเพียงแต่ว่าเราทำมันทุกวัน

การออกกําลังกายง่ายๆที่บ้าน

เริ่มจากง่ายๆก่อน ให้เรามองหาว่างานบ้านของเราเสร็จแล้วหรือยัง เช่น กวาดบ้าน ถูบ้าน เช็ดโต๊ะ ทำความสะอาดห้องน้ำ หรืออื่นๆที่คิดได้ ถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งยังไม่แล้วเสร็จก็จงทำซะ นอกจากจะได้ออกกำลังกายแล้วยังเป็นการรักษาความสะอาดบ้านไปในตัว

เริ่มเข้ามามีสาระมากกว่านี้หน่อย

คือการออกกําลังกายง่ายๆที่บ้านแบบเจาะจงลงมาอีก

1.เดินไปมา หากพื้นที่ในบ้านท่านมีมากมายก็เดินเร็วๆไปเลย ไม่ถึงกับต้องวิ่ง การทำแบบนี้จะช่วยลดไขมันส่วนเกินในร่างกายได้ดี หรือเรียกว่าการเบิร์นนั่นเอง

2.กระโดด จะช่วยให้ขาและกระดูกสันหลังของเราแข็งแรง และช่วยให้หัวใจแข็งแรงอีกด้วย

3.จ๊อกกิ้งอยู่กับที่ คล้ายๆกับเดินนั่นแหละเพียงแต่เผาผลาญได้ดีและมากกว่า และไม่เปลืองพื้นที่ในการออกกำลังกาย

4.ซิทอัพ นี่เป็นท่าที่ดีในการลดหน้าท้องของท่านทั้งหลาย แต่อย่าลืมจะให้ดีที่สุดต้องประกอบกับการเบิร์นไขมันก่อน เพราะไม่เช่นนั้นการซิทอัพก็เป็นเพียงแค่ทำให้หน้าท้องของเราแข็งแรงอย่างเดียว ไม่ได้มีไว้โชว์ใคร แต่หากใครอยากโชว์ซิกแพคอะไรทำนองนี้ก็อย่าลืมเบิร์นด้วยนะ ซึ่งการเบิร์นก็ที่บอกไว้ เดินเร็ว หรือ วิ่ง จะช่วยได้ดีที่สุด

5.อื่นๆ จริงๆอยากแยกย่อยให้เป็นเรื่องๆไปแต่ด้วยส่วนอื่นๆก็เหมือนเป็นการเฉพาะเจาะจงเสริมสร้างความแข็งแรงไปในแต่ละส่วนเช่นเดียวกับการซิทอัพที่ยกตัวอย่างไปนั้น หากท่านอยากได้ส่วนแขนก็วิดพื้น อะไรประมาณนี้แล้วกันนะ

เห็นไหมว่าการออกกําลังกายง่ายๆที่บ้านมันง่ายสมคำพูดจริงๆ หากท่านปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำ ร่างกายของท่านจะดูดี แข็งแรง และเป็นที่น่าดึงดูดเลยทีเดียว

หากใครที่คิดว่าเริ่มต้นการออกกําลังกายง่ายๆที่บ้านมันยากเกินไป นั่นคือท่านจงอ้วนต่อไปซะ ไม่มีคำแนะนำอื่นๆแล้วล่ะ (ล้อเล่นน่ะ) ความอ้วนมันมีหลายปัจจัย ไม่ใช่การไม่ออกกำลังกายแล้วจะอ้วน การกินจุ รับประทานแต่อาหารขยะ นู้นนี่นั่น เป็นส่วนทำให้ร่างกายของเราอ้วนได้ ซึ่งถ้าหากได้อ่านบทความในที่นี้แล้วลองไปปฏิบัติตาม รับรองไม่อ้วนจ๊ะ

สุดท้ายเลยนะ ท่องในใจไว้ว่าเราจะ "ออกกําลังกายง่ายๆที่บ้าน ออกกําลังกายง่ายๆที่บ้าน และออกกําลังกายง่ายๆที่บ้านให้ได้" สู้ๆทุกคน

Thursday, June 13, 2013

น้ำเต้าหู้ อ้วนไหม?

น้ำเต้าหู้ อ้วนไหม

 น้ำเต้าหู้ อ้วนไหม



ดื่มน้ำเต้าหู้ แล้วถามว่าอ้วนไหม? ขอตอบเลยว่าขึ้นอยู่กับว่าดื่มน้ำเต้าหู้อย่างเดียวหรือไม่ หรือดื่มกับเครื่องเคียงและขนมอื่นๆอีก รวมไปถึงลักษณะและพฤติกรรมการดื่มของแต่ละคนในแต่ละช่วงเวลาซึ่งอาจจะตอบไม่ได้โดยตรงว่าอ้วนหรือไม่ เช่นดื่มน้ำเต้าหู้ที่มีการใส่น้ำตาลเพื่อเพิ่มรสชาติแล้วเราดื่มในปริมาณมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ ก็จะเป็นการเพิ่มน้ำหนักตัวได้ อีกทั้งดื่มน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ก็มีส่วนที่จะเพิ่มน้ำหนักตัวเราให้สูงขึ้น อาจจะไม่ถึงกับอ้วนจนเป็นโรคได้แต่สำหรับคนที่ไม่ต้องการที่จะอ้วนเกินกว่านี้ที่ตัวเองต้องการก็ควรระมัดระวังเรื่องการกิน เพราะอะไรหน่ะหรือก็เพราะว่าปาท่องโก๋น่ะน้ำมันเยิ้มเลยล่ะ แต่ก็ใช่ว่าจะมาบอกว่าการดื่มน้ำเต้าหู้กับอย่างอื่นนั้นไม่ดีนะ มันก็ดีหมดแหละเพราะน้ำเต้าหู้มีประโยชน์มากมาย คือ

          ในน้ำเต้าหู้นั้นหรือนมถั่วเหลืองนั้นเป็นแหล่งไขมันและโปรตีนที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย รวมไปถึงสารอาหารที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ ,บี ,บี 1 ,บี 2 ,บี 6 ,บี 12 ,ไนอาซิน ,เลซิทิน ซึ่งตัวหลังสุดช่วยในการบำรุงสมอง เพิ่มความทรงจำ นอกจากนี้สารอาหารที่อยู่ในนมถั่วเหลืองยังช่วยลดไขมันและคอเลสเทอรอลในร่างกายเราได้อีกด้วย

เพราะฉะนั้นถ้าหากเรารู้จักเลือกรับประทาน บอกได้เลยว่าไม่อ้วน สบายใจได้ เรามาดูประโยชน์อื่นๆของน้ำเต้าหู้กันดีกว่า

นมถั่วเหลืองให้พลังงานได้มากพอ ๆ กับนมวัว แม้ปริมาณโปรตีน วิตามินและเกลือแร่อื่น ๆ อาจได้ไม่เท่ากับนมวัว แต่ข้อดีที่สำคัญคือ กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน เพราะ ไขมันในนมถั่วเหลือง เป็นไขมันไม่อิ่มตัวมีมากถึง 63% ไขมันอิ่มตัว 15 % ไขมันไม่อิ่มตัวชนิดเดี่ยวอีก 24 % และยังมี linoleic acid กรดไขมันที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย นอกเหนือจากคุณค่าในแง่ของพลังงานแล้ว ในนมถั่วเหลืองยังมีสารอาหารอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นวิตามินอี ที่มีในปริมาณที่สูง วิตามินอี มีส่วนสำคัญที่ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระ ช่วยดูแลเนื้อเยื่อร่างกายให้เป็นปกติ ทำให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่ง และยังช่วยชะลอความแก่อีกด้วย ...เพราะฉะนั้น ถ้าใครทานนมถั่วเหลืองมาก ๆ ก็มีสิทธิแก่ช้า แถมยังได้ผิวพรรณที่สดใสอยู่กับเราไปนาน ๆ ด้วย

ช่วยป้องการเกิดโรคกระดูกพรุน โรคหัวใจล้มเหลว ท้องผูก สามารถลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลำไส้ และริดสีดวงด้วย

 น้ำเต้าหู้กับผู้หญิง


         น้ำเต้าหู้ดีกับสุขภาพโดยเฉพาะกับผู้หญิงที่เข้าสู่วัยทอง หากมีการรับประทานน้ำเต้าหู้อยู่เสมอจะช่วยลดอาการต่าง ๆ ของหญิงวัยหมดประจำเดือนไม่ว่าจะเป็นร้อนวูบวาบ ช่องคลอดแห้ง ไขมันสูง อารมณ์ไม่ปกติ ในน้ำเต้าหู้จะมีสารเคมีสำคัญตัวหนึ่ง คือ ไอโซฟลาโวน ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน ประโยชน์ของสารตัวนี้สามารถลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งเต้านม โรคกระดูกพรุน โรคหัวใจและหลอดเลือดได้ ส่วนคุณผู้หญิงที่ไม่อยู่ในช่วงวัยทองก็ได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน เพราะจะช่วยปรับฮอร์โมนของผู้หญิงให้สมดุลได้เช่นเดียวกับยาคุมกำเนิด

โปรดอย่าลืมว่าการเลือกรับประทานแต่น้ำเต้าหู้เพียงอย่างเดียวหรือรับประทานแทนมื้ออาหารไม่ว่าจะมื้อเช้า กลางวัน เย็น นั้นไม่ควรทำนะ เพราะร่างกายจะได้รับสารอาหารที่จำเป็นอื่นๆไม่เพียงพอ

สุดท้ายขอย้ำกับท่านผู้เป็นห่วงเรื่องความอ้วนจากการดื่มน้ำเต้าหู้ว่าท่านไม่ต้องกังวลเพียงแต่ท่านดื่มเพื่อไปเป็นส่วนเสริมของวิตามินที่ร่างกายขาดไปก็เท่านั้นเอง (อย่ารับประทานอาหารในแต่ละมื้อมากจนเกินไปนะ และอย่ากินจุกจิก รับรองไม่อ้วนจ้า)

วิธีช่วยลดน้ำตาลในร่างกาย จะทำให้ไม่อ้วนได้น๊า

Monday, June 10, 2013

สูตรสวยหน้าใสด้วยธรรมชาติ เพื่อหน้าใสอย่างเป็นธรรมชาติ

สูตรสวยหน้าใสด้วยธรรมชาติ

 

 

 ปกติแล้วถ้าเราดูแลสุขภาพผิวหน้าของเราอย่างสม่ำเสมอและร่างกายได้รับวิตามินเพียงพอตามที่ร่างกายต้องการ พักผ่อนเพียงพอ หน้าของเราก็จะใส เนียน อมชมพู ตามธรรมชาติ แต่ด้วยในการใช้ชีวิตในปัจจุบันนี้การจะทำแบบที่กล่าวมาข้างต้นให้ได้อย่างสม่ำเสมอนั้นยากแสนยากจะด้วยเหตุใดๆก็ตาม ทำงานดึก ดูละคร เล่นเกมส์ เล่นโซเชียลอื่นๆ ฯลฯ ดังนั้นเราจึงควรที่จะช่วยให้ร่างกายผิวหน้าของเราได้รับวิตามินที่ขาดหายไปซึ่งเป็นสิ่งที่ควรจะได้รับเพื่อความใสเนียนเป็นธรรมชาติ

มาร์คพอกหน้าสูตรใบเตย

นำใบเตย4-5 ใบมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้วนำไปปั่นรวมกับไข่ไก่ 2ช้อนโต๊ะจะได้มาร์คพอกหน้า เป็นครีมข้นๆ หอมกลิ่นใบเตย พอกหน้าไว้ประมาณ 5-10 นาที แล้วล้างหน้าตามปกติ

ถนอมผิวหน้าด้วยโยเกิร์ต

ล้างหน้าให้สะอาด ซับเบาๆด้วยผ้าขนหนู แล้วใช้มือแตะโยเกิร์ต(ให้ใช้ชนิดที่ไม่ผสมเนื้อผลไม้) มาพอกให้ทั่วผิวหน้า เว้นรอบปากและดวงตา นวดและคลีงเบาๆ พอกไว้ประมาณ 20 นาที จึงล้างออก หมั่นทำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ผิวจะเปล่งปลั่งสดใสอมชมพู เพียงเท่านี้ก็หน้าใสด้วยธรรมชาติ อย่างเป็นธรรมชาติได้แล้ว

ครีมพอกหน้าสำหรับสาวผิวมันและผิวผสม


ให้ใช้แตงกวา1 ผล ไขไก่ 1 ฟอง (ใช้เฉพาะไข่ขาว) และมะนาว 1 เสี้ยว หั่นแตงกวาเป็นแว่นบางๆ นำไปปั่นพร้อมกับไข่ขาวและบีบน้ำมะนาวลงไป ปั่นจนละเอียดเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบปากและดวงตาไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีแล้วจึงล้างหน้าตามปกติ หมั่นทำบ่อยๆ ทุกสัปดาห์ จะช่วยลดความมันส่วนเกิน และยังช่วยสมานผิวหน้า กระชับรูขุมขน ช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียน เต่งตึง และนวลนุ่มชุมชื่น

ลบรอยกระด่างดำบนใบหน้าด้วยมะละกอสุก


นำมะละกอสุกมายีให้ละเอียด พอกหน้า ทิ้งไว้ สัก 10 นาที แล้วจึงล้างออก จะช่วยให้ ใบหน้าที่มีรอยด่างดำดูดีขึ้น

สูตรรักษาฝ้า

คั้นน้ำมะขามเปียก ให้ค่อนข้างใสสักหน่อย ตั้งไฟอ่อน รอจนสุก จึงใส่น้ำผึ้งลงไปคนให้เข้ากัน ขั้นตอนนี้ต้องทำพร้อมกัน คือมือหนึ่งเท อีกมือก็คนให้ทั่ว นำมาทาหน้า วันละ 1 ชั่วโมง ช่วยรักษาฝ้า และทำให้ผิวหน้านวลใสขึ้น

สูตรสาวหน้าใส

ส่วนผสม น้ำผึ้ง น้ำมะนาว ผสมน้ำผึ้ง 1 ถ้วย น้ำมะนาว 1 ช้อนชา เข้าด้วยกัน นำมานวดให้ทั่วใบหน้า มะนาว จะช่วยขจัดเซลล์ผิว เหมือนครีมที่มีส่วนผสมAHA ส่วนน้ำผึ้ง ทำให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื่น นวดประมาณ 15 นาที

สูตรลดริ้วรอย


เลือกใช้ผลไม้ที่หาง่าย จะเป็นแอปเปิ้ล กล้วยหอม แตงกวา หรือมะเขือเทศก็ได้ค่ะ ใช้ปริมาณ 1 ถ้วย นำมาปอกเปลือกและเอาเมล็ดออก นำไปปั่นให้เนื้อละเอียด นำเนื้อผลไม้ที่เตรียมไว้ มาพอกให้ทั่วหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออก และล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นอีกครั้ง จะทำให้ผิวหน้าเนียนนุ่ม เกลี้ยงเกลา แลดูสดใส

สูตรกระชับรูขุมขน


กล้วยหอม แตงกวา มะเขือเทศ (เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง) ปอกเปลือก เอาเมล็ดออก แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เติมนมเปรี้ยวหรือน้ำผึ้งลงไป นำไปปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อครีม นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ ประมาณ 15 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะช่วยทำความสะอาดใบหน้า และช่วยกระชับรูขุมขน และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น

สูตรขจัดสิวเสี้ยน


นำไข่ขาว มาทาบาง ๆ บริเวณที่มีสิวเสี้ยน แล้วใช้กระดาษทิชชูหรือกระดาษซับหน้าแค่ชั้นเดียว วางทับลงไป รอให้แห้ง แล้วค่อย ๆ ดึงกระดาษออก โดยดึงจากมุมด้านล่าง สิ้วเสี้ยนที่เคยเป็นเสี้ยนหนามตำใจจะหลุดออกมาอย่างง่ายดาย

สูตรขจัดสิวหัวดำ


นำมะเขือเทศสดมาปั่นรวมกับข้าวโอ๊ตให้เข้ากันแล้วผสมน้ำผึ้งสักเล็กน้อย นำมาทา บนใบหน้าให้ทั่ว เน้นเป็นพิเศษบริเวณที่มีสิวหัวดำ แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น

คลีนเซอร์สำหรับทุกสภาพผิว


โยเกิร์ต 1/2 ถ้วยน้ำมันดอกทานตะวัน 1 ช้อนโต๊ะน้ำมะนาว 1 1/2 ช้อนโต๊ะ (คั้นสด ๆ นะคะ)นำส่วนผสมทั้งหมด มาผสมให้เข้ากัน พอกให้ทั่วหน้าทุกเช้าและก่อนนอน แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดจะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ำลึก และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอีกด้วย

credit : sanook

นอกจากนี้หากท่านที่ไม่มีเวลาในการทำจริงๆ เทคโนโลยีปัจจุบันที่ทันสมัยก็มีให้เลือกในการทำให้หน้าของเราสวยใสได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่ไม่ใช่ด้วยธรรมชาติ ฟังดูแล้วอาจจะงง นั่นก็คือการไปรักษากับแพทย์ผิวหนัง หรือ แพทย์เฉพาะทาง เพื่อรักษาอาการหน้าไม่ใส ไม่เนียน ด้วยครีมบำรัง หรือยาทาหน้าต่างๆ ตามแต่สถาบันที่เข้ารับการรักษา หรือในบางท่านเข้าใจในตัวผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดเพื่อให้เหมาะกับผิวหน้าตัวเองก็สามารถหาซื้อได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะครีมบำรุง ครีมทาเพื่อปกป้องสภาพผิวไม่ให้หย่อนยานหรืออื่นๆอีกมากมาย แต่นั่นก็เพื่อให้ผิวหน้าของเราที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างที่มันควรจะเป็นใส เนียน และดูดี

สูตรสวยหน้าใสด้วยธรรมชาติ

อย่าลืมที่จะดูแลสุขภาพผิวหน้าของเราไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม อย่าปล่อยให้มันเหี่ยวย่นจนเกินอายุ หากเป็นเช่นนั้นแล้วจะกลับมาแก้ไขก็จะเป็นไปได้ยากและใช้เวลานานในการฟื้นฟู และอาจต้องเสียทรัพย์สินจำนวนมากไปกับการรักษา จงสวยหน้าใสด้วยธรรมชาติ อย่างเป็นธรรมชาติตั้งแต่วันนี้

หากต้องการข้อมูลอื่นๆเพิ่มเติมเกี่ยวกับสูตรต่างๆเกี่ยวกับสวยหน้าใสด้วยธรรมชาติ ลองค้นหาเพิ่มเติมด้วยตัวท่านเอง แล้วหาวิธีที่เหมาะสมกับตัวท่าน

Wednesday, May 29, 2013

7 วิธีลดน้ำตาล ลดโรคภัย สุขกาย สุขใจ

7 วิธีลดน้ำตาลในร่างกาย


ขึ้นชื่อว่าน้ำตาลเมื่อมาอยู่ในร่างกายเรามากเกินไป ยังไงๆ เราก็อ้วน ถึงแม้จะยังไม่เป็นโรคอ้วนแต่ก็เป็นสัญญาณที่จะทำให้เกิดโรคอ้วนได้ และยังมีโรคอื่นๆอีก เช่น โรคหัวใจ ,ความดันโลหิตสูง เป็นต้น เพราะฉะนั้นเราควรควบคุมให้ร่างกายของเรารับน้ำตาลเข้าไปในร่างกายให้อยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ซึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดและเห็นผลในการลดน้ำหนักและพลังงานคือกินน้ำตาลโดยลดปริมาณน้ำตาลลงทีละน้อย เช่น ลดปริมาณน้ำตาลในชา กาแฟ หรืออาจใช้น้ำตาลเทียม เลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง

มาดูกันว่า 7 วิธีในการลดน้ำตาลในร่างกายมีอะไรบ้าง



1.อย่าหลงคารมคำโฆษณาว่าเป็น "น้ำตาลสุขภาพ" เพราะไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลชนิดใดก็ล้วนให้พลังงานเท่ากัน
2.รับประทานผลไม้แทนขนมหวาน เพราะผลไม้มีวิตามิน แร่ธาตุ และมีเส้นใยอาหารที่ช่วยลด หรือชะลอการดูดซึมน้ำตาล และคาร์โบไฮเดรตซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอ้วน แต่ควรจำกัดปริมาณเพียงวันละ 2 อุ้งมือ เพราะในผลไม้ก็มีน้ำตาลอยู่ด้วย และเลี่ยงดื่มน้ำผลไม้ เพราะจะได้รับน้ำตาลมากเกินความต้องการ
3.ลดหรือกำจัดคาร์โบไฮเดรตแปรรู จำพวกขนมปังและเบเกอร์รี่ ซึ่งจะเปลี่ยนไปเป็นน้ำตาลในเลือดได้เร็วพอๆ กับการกินกลูโคส นอกจากนี้คาร์โบไฮเดรตที่เหลือใช้จะถูกเก็บสะสมเป็นไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นไขมันที่ร่างกายเก็บเป็นเสบียง

4.ระวังของว่างไร้ไขมัน จากความเชื่อผิดๆ ที่ว่า ถ้าอาหารไร้ไขมันจะไม่ทำให้อ้วน ความจริงอาหารไร้ไขมันยังมีน้ำตาลและปริมาณแคลอรีสูง
5.อ่านฉลากอาหารเพื่อค้นหาน้ำตาลและไขมันไม่ดี สำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน อาจใช้สารความหวานชนิดที่ให้พลังงานต่ำ ซึ่งมักระบุไว้บนฉลากว่า "ปราศจากน้ำตาล" หรือ "sugar free"
6.ระวังการใช้สารให้ความหวานเทียมหรือสารทดแทนความหวานมากเกินควร เพราะอาจทำให้ร่างกายมีความอยากน้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรตมากขึ้น
7.คำนวณปริมาณน้ำตาล โดยอ่านข้อมูลโภชนาการที่แสดงปริมาณน้ำตาลทั้งหมด เป็นกรัมแล้วหารด้วย 4 จะได้เท่ากับจำนวนน้ำตาลที่กินเข้าไปเป็นช้อนชา




ในสาระที่คล้ายกันยังมีของแถมดีๆ อีกข้อ นั่นคือเป็นความรู้ใหม่ๆ ที่เราไม่เคยสังเกตและอยากรู้ ความหมายของสีที่ปลายหลอดครีมต่างๆ ซึ่งไขปริศนาได้ดังนี้ สีน้ำเงิน=สารธรรมชาติ/สีแดง=ผสมผสานระหว่างสารธรรมชาติกับเคมี /สีดำ= ส่วนประกอบจากเคมี

ที่มา : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง , สสส.


นอกเหนือจาก 7 วิธีลดน้ำตาลในร่างกายข้างต้นนี้ยังมีอีกหลากหลายวิธีที่สามารถทำได้ ซึ่งแล้วแต่ตัวของท่านเองว่าต้องการลดน้ำตาลในร่างกายด้วยวิธีการไหน อีกอย่างหากท่านสังเกตหรือพอได้อ่านเกี่ยวกับเรื่องลดน้ำตาลในร่างกายมาบ้าง จะได้ยินได้เห็นบทความที่ว่า "ลดน้ำตาลในร่างกายแค่นี้ความอ้วนลดลงเลย" นั่นก็แสดงว่าหากเราลดได้อย่างต่อเนื่องนอกจากสุขภาพร่างกายจะดีแล้วยังทำให้หุ่นของเราดีขึ้นอีกด้วย ไม่อ้วนตุ๊ต๊ะให้คนอื่นว่าเราได้

ฝากไว้อีกเรื่องหนึ่งคือถ้าเราไม่สามารถจะลดการรับประทานน้ำตาลได้แล้ว อาจเพราะด้วยรสชาติ ความอยาก หรืออะไรก็ตาม และถ้าท่านไม่ต้องการให้เกิดโรคภัยตามมา ท่านก็ต้องเผาผลาญออกด้วยการออกกำลังกาย ซึ่งท่านทานน้ำตาลมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการมาก แล้วไม่อยากอ้วนท่านก็ต้องออกกำลังกายให้มากๆหน่อย ในทางกลับกันถ้าท่านทานน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการเพียงเล็กน้อยท่านก็ออกกำลังกายน้อยลง (แต่ถ้าแนะนำคือออกกำลังไปเถอะหากท่านมีเวลาและสะดวกที่จะทำ เพราะยังไงซะการออกกำลังกายก็เป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพร่างกายของเราอยู่แล้ว)

Wednesday, May 22, 2013

ประโยชน์ของลูกเดือย และสรรพคุณ

ประโยชน์ของลูกเดือย


ก่อนที่จะเล่าถึงประโยชน์ของลูกเดือย เรามาทำความรู้จักกับลูกเดือยกันก่อน


ลูกเดือยจัดอยู่ในกลุ่มธัญพืชประเภทคาร์โบไฮเดรต เป็นพืชพื้นเมืองแท้ๆของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีเส้นใยอาหารสูง เป็นพืชตระกูลเดียวกับข้าว โดยมีลักษณะเป็นเม็ดสีขาว เม็ดจะออกกลม ๆ รี ๆ รสชาติออกมันเล็กน้อย ลูกเดือยมีคุณค่าทางอาหารสูง เพราะมีปริมาณโปรตีน 13.84% คาร์โบ-ไฮเดรต 70.65% ใยอาหาร 0.23% ไขมัน 5.03% แร่ธาตุต่างๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะฟอสฟอรัส ซึ่งช่วยบำรุงกระดูก มีอยู่ในปริมาณสูง รวมทั้งวิตามินเอ ที่ช่วยบำรุงสายตา วิตามินบี 1 และวิตามินบี 2 โดยเฉพาะวิมามินบี 1 มีในปริมาณ มาก (มีมากกว่าข้าวกล้อง) ซึ่งช่วยแก้โรค เหน็บชาด้วย ลูกเดือยยังมีกรดอะมิโนทุกชนิดที่สูงกว่าความต้องการตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก ยกเว้นเมทไธโอนีนและไลซีน เช่น มีกรดกลูตามิกในปริมาณมากตามด้วยลูซีน, อลานีน,โปรลีน วาลีน, ฟินิลอลานีน, ไอโซลูซีน และอาร์จีนีนลดหลั่นลงมา มีกรดไขมันจำเป็นชนิดที่ไม่อิ่มตัวด้วย เช่น กรดโอเลอิค และกรดลิโนเลอิก รวมแล้วถึง 84% และเป็นกรดไขมันชนิดอิ่มตัว คือ ปาล์มิติก และสเตียริก เพียง 16% เท่านั้น (ที่มา : ลูกเดือย)

เมื่อเรารู้จักกับลูกเดือยกันแล้วมาดูกันว่าประโยชน์ของมันมีอะไรบ้าง


1. ลูกเดือยนั้นมีคุณค่าทางอาหารสูง โดยเฉพาะฟอสฟอรัสซึ่งมีสรรพคุณช่วยบำรุงกระดูกมีอยู่ในปริมาณสูง และวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตาอีกด้วย
2. รักษาโรคหูดที่มักจะเป็นเรื้อรัง ด้วยสรรพคุณของลูกเดือยมีฤทธิ์ทำให้เลือดมาเลี้ยงที่ผิวหนังดีขึ้น หรือจากฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก
3. เด็กๆ ที่รับประทานลูกเดือยเป็นประจำจะช่วยบำรุงม้ามและกระเพาะอาหาร 
4. สตรีหลังคลอดควรรับประทานลูกเดือยเพื่อบำรุงเลือด 
5. ผู้สูงอายุที่รับประทานลูกเดือยจะช่วยบำรุงการทำงานของไต

ไม่เพียงเท่านี้ประดยชน์อื่นๆของลูกเดือยยังมีอีกมา จากข้างบนที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงคร่าวๆเท่านั้น อีกส่วนหนึ่งก็ย่อมาไว้ในรูปข้างล่างเรียบร้อยแล้ว ลองๆอ่านกันเล่นๆดูได้นะ



จากประโยชน์และสรรพคุณของลูกเดือยที่ได้กล่าวมา ทำให้รู้ว่าลูกเดือยมีประโยชน์แก่ร่างกายเรามากแค่ไหน ซึ่งการรับประทานลูกเดือยเราสามารถรับประทานเมื่อไหร่ก็ได้ นำไปประยุกต์ใส่กับอาหารหรือเครื่องดื่มเพื่อเพิ่มรสชาติให้ลูกเดือยอร่อยขึ้นก็สามารถทำได้ แถมลูกเดือยสามารถหาซื้อได้ง่ายมีขายกันทั่วไปอีกด้วย

Sunday, May 12, 2013

ประโยชน์ของผักแต่ละสีมีอะไรบ้าง?

ประโยชน์ของผักแต่ละสีมีอะไรบ้าง?


สีของผักผลไม้แต่ละชนิดนั้นนอกจากจะช่วยในการเพิ่มความอยากอาหารของเราแล้ว มันยังมีความแตกต่างกันในเรื่องของสารอาหารที่จะได้รับอีกด้วย ซึ่งแต่ละสีก็มีประโยชน์ที่แตกต่างกันออกไป อาจจะคล้ายคลึงกันบ้าง ก็แล้วแต่ชนิดของผักผลไม้เหล่านั้น ซึ่งหากต้องการสุขภาพที่ดีนั้นเราก็ควรที่จะรับประทานผักผลไม้ให้ครบทั้ง 5 สี โดยประโยชน์ของแต่ละสีมีดังนี้


1. ผักผลไม้สีเขียว


พบมากในผักผลไม้สีเขียวเข้ม เช่น คะน้า ตำลึง ฯลฯ และพบได้ในผักและผลไม้สีเขียวทั่วไป เช่น แอบเปิ้ลเขียว ฝรั่ง องุ่นเขียว เป็นต้น ซึ่งในผักผลไม้สีเขียวนี้มีสารที่ชื่อว่า คลอโรฟิลด์ (Chlorophyll) ในผักผลไม้สีเขียวนี้อุดมไปด้วยสารต่อต้านการเกิดมะเร็งได้เป็นอย่างดี ทำให้ผิวพรรณของคุณเปล่งปลั่งสดใส ช่วยยับยั้งการเกิดริ้วรอย นอกจากนี้การทานผักผลไม้สีเขียวเป็นประจำจะช่วยทำให้ระบบการขับถ่ายของคุณดี ขับถ่ายคล่องเนื่องจากมีกากใยเยอะ และสารประเภทอื่นๆ ซึ่งช่วยปกป้องดีเอ็มเอไม่ให้ถูกทำลายจนกลายเป็นเนื้อร้าย รักษาหลอดเลือดให้แข็งแรง ช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงานของร่างกายและช่วยทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อผลเสียต่อสุขภาพบำรุงสมองและความจำ และบำรุงสุขภาพผู้สูงอายุ

2.  ผักผลไม้สีแดง



พบมากในมะเขือเทศ ทับทิม และ สตอเบอรี่ เชอรี่ บีทรูต แคนเบอรี่ ดอกกระเจี๊ยบ ชมพู่แดง ก็นับอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย ส่วนใครไม่ทราบชื่อของผักผลไม้ตามชื่อที่กล่าวมา ลองไปหาข้อมูลเพิ่มเติมกันดูนะ และยังมีผักผลไม้สีแดงอีกจำนวนมากที่ไม่ได้กล่าวไว้  ซึ่งในผักผลไม้สีแดงเหล่านี้ มีสารที่ชื่อว่า ไลโคปีน (Cycopene) และ เบตาไซซีน (Betacycin) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ  และเนื่องจากมีสารต่อต้านการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากจึงถือได้ว่าช่วยทำให้ระบบทางเดินปัสสาวะมีสุขภาพดีก็ว่าได้

3.  ผักผลไม้สีเหลืองหรือส้ม


พบมากในแครอท มะละกอสุก ฟักทอง ทุเรียน ขนุน ข้าวโพด สับปะรด แคนตาลูป อุดมไปด้วยวิตามินซี แคโรทีนอยด์ (ความจริงแล้วสารเบต้าแคโรทีน (Betacarotene) ก็มีอยู่ในผักผลไม้สีเข้มแทบทุกชนิด เช่น พริกแดง มะเขือเทศ ตำลึง คะน้า ผักโขม ฯลฯ ซึ่งเราสามารถกินทดแทนกันได้ แต่อาจจะได้รับสารเบต้าแคโรทีนไม่มากเท่าพืชผักสีส้มเท่านั้นเอง) และไบโอฟลาโวนอยด์ เสริมภูมิคุ้มกัน บำรุงสายตา ให้มีความกระฉับกระเฉง เป็นสารสำคัญแต่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ

4. ผักผลไม้สีม่วง


เป็นสีที่หลายๆคนอาจจะไม่คุ้นชินเท่าสีอื่นๆ ซึ่งถ้าให้ลองนึกดูก็คงจะนึกกันไม่ออก โดยผักผลไม้สีม่วงพบมากในมะเขือสีม่วง แบล็กเบอรี บลูเบอรี อัญชัน และยังมี หอมแดง กระหล่ำม่วง อีกด้วย ซึ่งมีสาร แอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ที่มีคุณสมบัติทำลายสารที่ก่อใหเเกิดมะเร็ง ช่วยขยายหลอดเลือด นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และการเกิดอัมพาตได้ด้วย

5. ผักผลไม้สีขาวและน้ำตาลอ่อน


พบมากในกระเทียม มีสารแซนโทน (xanthone) (กลุ่มของฟลาโวนอยด์) สารตัวนี้ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ลดอาการปวดข้อเข่า ต้านเชื้อโรคหลายชนิด เช่น เชื้อวัณโรค ต้านเซลล์ มะเร็ง เม็ดเลือดขาว ช่วยรักษาระดับน้ำตาล ในเลือด ให้เหมาะ และรักษาระบบภูมิคุ้ม-กันให้อยู่ในสภาพที่ดี(ปัจจุบันมีการจำหน่ายสารสกัดและเครื่องดื่มแซนโทน จากมังคุด ในประเทศสหรัฐอเมริกา) ลูกเดือย เป็นธัญพืชที่มีประโยชน์ มากต่อร่างกาย สารสำคัญในลูกเดือยที่ชื่อ กรดไซแนปติก มีฤทธิ์ต้าน อนุมูลอิสระ ในตำราการแพทย์แผนจีนใช้ลูกเดือยรักษาโรคมะเร็งและอาการอื่นๆ มานานแล้ว และปัจจุบัน ก็มีการทดลองใช้ สารสกัดไขมัน จากลูกเดือย ในการ รักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งด้วย


นี่เป็นเพียงประโยชน์คร่าวๆของผักผลไม้แต่ละสี ซึ่งหากใครต้องการข้อมูลที่มากกว่านี้แล้วลองไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมกันตามสะดวก

Tuesday, April 30, 2013

ประโยชน์และโทษของเม็ดแมงลัก

ประโยชน์และโทษของเม็ดแมงลัก


จากที่ข้อมูลต่างๆซึ่งนำเม็ดแมงลักมาช่วยในการขับถ่ายและล้างลำไส้หรือที่เรียกว่าการดีท็อกซ์นั้นเป็นประโยชน์ส่วนหนึ่งของเม็ดแมงลักซึ่งประโยชน์อื่นๆของมันก็ยังมีอีกมาก แต่เมื่อมีประโยชน์ก็ต้องมีโทษตามมาซึ่งเราควรศึกษาให้ดีและทำความเข้าใจกับมัน เพียงเท่านี้เราก็จะได้ใช้ประโยชน์จากเม็ดแมงลักได้อย่างมีประสิทธิภาพแก่ร่างกายของเราเอง




โทษของเม็ดแมงลัก


1. มีอาการแน่นท้องรู้สึกไม่สบายตัว เมื่อรับประทานเม็ดแมงลักในปริมาณมากๆ

2. การรับประทานเม็ดแมงลักในขณะที่ยังพองตัวไม่เต็มที่ อาจจะเกิดการดูดน้ำจากกระเพาะอาหารทำให้เม็ดแมงลักจับตัวกันเป็นก้อนและอุดตันในลำไส้ ซึ่งอาจทำให้ท้องผูกได้เช่นกันถ้ารับประทานแบบผิดวิธี

3. ไม่ควรรับประทานเม็ดแมงลักพร้อมกับกับยาอื่นๆ เพราะจะมีผลทำให้ร่างกายดูดซึมยาเหล่านั้นได้ไม่ดีและน้อยลง ดังนั้นควรทานยาก่อนสักประมาณ 15-30 นาทีแล้วค่อยรับประทานเม็ดแมงลักตาม

4. สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก การรับประทานเม็ดแมงลักแทนมื้ออาหารหลักควรรับประทานเป็นบางมื้อ เพราะอาจจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็นอื่นๆได้

5. อีกสิ่งที่ต้องระวังไว้ก็คือ การเลือกซื้อ ควรเลือกซื้อเม็ดแมงลักที่มีความสะอาดได้มาตรฐานน่าเชื่อถือ อยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่ปิดมิดชิด เก็บไว้ในที่เหมาะสม เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว อาจมีเชื้อราหรือสารพิษอย่างอะฟลาทอกซินปนเปื้อนมาด้วยก็ได้ (สารอะฟลาทอกซิน เมื่อบริโภคจำนวนมากอาจทำให้อาการท้องเดิน อาเจียน และสะสมเป็นสารก่อมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งตับ)

ประโยชน์ของเม็ดแมงลัก


1. เม็ดแมงลัก ลดความอ้วน เพราะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ เพราะมีสรรพคุณในการเปลี่ยนคอเลสเตอรอลไปเป็นกรดน้ำดี และยังช่วยเพิ่มการขับออกของกรดน้ำดีด้วย ซึ่งจะไปลดเฉพาะคอเลสเตอรอลไม่ดี (LDL) แต่ไม่มีผลใดๆกับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL)

2. เม็ดแมงลัก ลดน้ําหนัก ตัวช่วยสำหรับผู้ที่ต้องควบคุมน้ำหนักและความอ้วน เนื่องจากเม็ดแมงลักไม่ก่อให้เกิดพลังงาน และมันสามารถพองตัวได้มากถึง 45 เท่า !! เมื่อนำมารับประทานเป็นอาหาร (ควรรับประทานแค่บางมื้อต่อวัน เพื่อป้องกันโรคขาดสารอาหาร) หรือจะรับประทานก่อนอาหารเพื่อทำให้กระเพาะไม่ว่างและรู้สึกอิ่มเป็นการช่วยควบคุมปริมาณอาหารที่รับประทานไปด้วยเป็นอย่างดี

3. เม็ดแมงลัก เมื่อรับประทานเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคหัวใจได้อีกด้วย

4. เม็ดแมงลักเป็นอาหารที่เหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพราะช่วยทำให้การดูดซึมของน้ำตาลลดลง เนื่องจากเม็ดแมงลักทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ช้าลงอยู่แล้ว

5. เม็ดแมงลักเป็นอาหารที่รับประทานง่าย กลืนง่ายลื่นคอและเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยรับประทานอาหารที่มีกากใยอย่างพวก ผักผลไม้

6. เม็ดแมงลัก ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้เป็นปกติและมีประสิทธิภาพ ขับถ่ายสะดวก เป็นยาระบายช่วยกระตุ้นการขับถ่ายด้วยการรับประทานเม็ดแมงลักก่อนเข้านอน

7. เม็ดแมงลัก สรรพคุณล้างลำไส้ ช่วยดีท็อกซ์แก้ปัญหาอุจจาระตกค้าง ซึ่งเป็นสาเหตุมาจากการเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด รับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย มีพยาธิ ระบบย่อยอาหารผิดติ ระบบดูดซึมเสีย และขับถ่ายไม่เป็นเวลา (ช่วงเช้า 05.00 - 07.00 น.)




ประโยชน์จากส่วนอื่นๆของต้นแมงลัก


1. ใบแมงลักช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะได้
2. ใบแมงลักมีสรรพคุณในการช่วยขับเหงื่อ
3. ใบแมงลักมีฤทธิ์ช่วยขับลมในลำไส้
4. ใบแมงลักต้มกับน้ำดื่มเป็นประจำช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้หรือทางเดินอาหารได้
5. ใบแมงลักมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียบางชนิดได้
6. ใช้ใบสดมาล้างน้ำให้สะอาดแล้วรับประทาน สรรพคุณช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ
7. รักษาโรคกลากเกลื้อน ด้วยการใช้ใบสดประมาณ 10 ใบนำมาล้างน้ำให้สะอาดแล้วนำมาตำผสมน้ำเล็กน้อย แล้วทาบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อนวันละ 1 ครั้งประมาณ 1-2 สัปดาห์อาการจะดีขึ้น

จะเห็นได้ว่าประโยชน์จากต้นแมงลักมีเยอะแยะมากมาย สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมของต้นแมงลักได้ที่
แมงลัก

Monday, April 29, 2013

มาดื่มน้ำเพื่อสุขภาพกันเถอะ !!!

มาดื่มน้ำเพื่อสุขภาพกันเถอะ

 

มาดื่มน้ำเพื่อสุขภาพกันเถอะ

 

หลายๆคนคงจะรู้กันอยู่แล้วว่าน้ำมีประโยชน์ต่อร่างกายมากน้อยเพียงใด และน้ำสามารถช่วยอะไรกับร่างกายของเราได้บ้าง แต่สำหรับคนที่ยังไม่รู้และกำลังเริ่มที่จะดูแลสุขภาพของตัวเราเองนั้น เราก็มีเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆมาบอกต่อๆกัน

การดื่มน้ำเพื่อให้ได้มาซึ่งสุขภาพที่ดีและแข็งแรงสดชื่นในหนึ่งวันและทุกๆวันของเรานั้น เราจะต้องดื่มน้ำสะอาดและต้องไม่เย็นจนเกินไปหรือถ้าจะให้เข้าใจง่ายจริงๆนั้นควรดื่มน้ำในอุณหภูมิห้องหรือในอุณหภูมิปกตินั่นเอง หากเราสังเกตดูดีๆแล้วในชีวิตประจำวันของเราเวลาเราเจ็บป่วย เหนื่อย กระหาย เราก็ต้องดื่มน้ำนี่แหละ เพราะฉะนั้นน้ำจึงมีความสำคัญกับเราเป็นอย่างมาก

แล้วในหนึ่งวันเราต้องดื่มน้ำมากน้อยแค่ไหน?

ปกติแล้วในหนึ่งวันเราควรจะดื่มให้ได้ 1-2 ลิตร หรือ 6-8 แก้ว ซึ่งการดื่มที่ถูกนั้นไม่ใช่ว่าในเวลาเดียวกันหรือในเวลาอันสั้นเราก็ดื่มไปแล้วจนครบตามที่บอกแล้วหลังจากนั้นก็ไม่ดื่มอีกเลย ซึ่งถ้าทำแบบนั้นแล้ว อาจจะเรียกได้ว่าไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะร่างกายได้รับน้ำในปริมาณมากเกินไปในเวลา ณ ขณะนั้น ทำให้เกิดการขับออกในเวลาต่อมา แล้วหลังจากนั้นล่ะ ร่างกายก็ขาดน้ำอีกเช่นเดิม ดังนั้นเราจึงควรจะจัดระเบียบในการดื่มน้ำในหนึ่งวันให้ดีและทำเป็นนิสัย ซึ่งโดยส่วนมากทำกันดังนี้

เช้า
2 แก้ว หลังตื่นนอน
กลางวัน
ก่อนอาหาร 1 แก้ว
หลังอาหาร 1 แก้ว
เย็น
ก่อนอาหาร 1 แก้ว
หลังอาหาร 1 แก้ว

เท่านี้ก็เพียงพอต่อวันแล้ว หรือหากใครสะดวกดื่มในช่วงเวลาอื่นก็สามารถทำได้ ไม่มีกฎตายตัว แต่หากจะให้ดี เราก็อาจจะดื่มเพิ่มเติมจากที่กล่าวมาด้วยการดื่มน้ำในช่วงสายๆของวันหรือก่อนนอน จะเป็นการดีมาก


ประโยชน์จากการดื่มน้ำล่ะ มีอะไรบ้าง?

จากที่กล่าวข้างบนนั้นเราก็คงจะทราบกันแล้วว่าน้ำมีความสำคัญต่อร่างกายมาก ดังนั้นเมื่อมันสำคัญมาก มันก็ต้องมีประโยชน์ต่อร่างกายเรามากเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น

ลดการปวดศีรษะได้


เราอาจจะเห็นไม่ชัดเจนมากนักว่าช่วยลดกันได้อย่างไร แต่ในผู้ที่ปวดศีรษะเป็นประจำ หรือคนที่เป็นโรคไมเกรน หากได้ดื่มน้ำเป็นประจำ ก็จะช่วยให้อาการปวดไมเกรนลงได้บ้าง เพราะผลการวิจัยบอกว่าในรายที่ ป่วยเป็นโรคไมเกรน หากร่างกายขาดน้ำก็จะยิ่งปวดไมเกรนมากขึ้น จึงควรดื่มน้ำเพื่อช่วยลดอาการดังกล่าว

สุขภาพผิวดี


หากผิวที่สดใสของเราได้รับน้ำเป็นประจำอย่างต่อเนื่องและเพียงพอก็จะช่วยให้ สดใสยิ่งขึ้น ผิวสวยสุขภาพผิวดี เเต่งตึงเป็นสีชมพู เนื่องจากไปกระตุ้นการไหลเวียดของเลือด หน้าตาสดใสบ่งบอกถึงความเป็นคนที่มีสุขภาพดี น้ำนั้นมีคุณประโยชน์ต่อผิวหนังของเรา เพราะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผิวหนัง และยังช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายด้วย

ประโยชน์อื่นๆของการดื่มน้ำ


ทำให้ระบบต่างๆในร่างกายพร้อมที่จะทำงาน มีการกระตุ้นระบบต่างๆ
ปากลิ้นสะอาด ตาใสเป็นประกาย
ช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น ช่วยเรื่องโรดกระเพาะ และกรดไหลย้อน
ช่วยลดความร้อนในร่างกายแก้ร้อนใน
การขับถ่ายดีท้องไม่ผูก
ทำให้สมาธิดีขึ้น สมองปลอดโปร่ง

จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ หากเราไม่ดื่มน้ำให้เป็นนิสัย สุขภาพเราจะดีได้อย่างไร จริงหรือไม่
มาทำให้ร่างกายของเรามีสุขภาพดีด้วยการเริ่มต้นจากสิ่งที่ทำได้ง่ายๆ คือ การดื่มน้ำ