Wednesday, May 29, 2013

7 วิธีลดน้ำตาล ลดโรคภัย สุขกาย สุขใจ

7 วิธีลดน้ำตาลในร่างกาย


ขึ้นชื่อว่าน้ำตาลเมื่อมาอยู่ในร่างกายเรามากเกินไป ยังไงๆ เราก็อ้วน ถึงแม้จะยังไม่เป็นโรคอ้วนแต่ก็เป็นสัญญาณที่จะทำให้เกิดโรคอ้วนได้ และยังมีโรคอื่นๆอีก เช่น โรคหัวใจ ,ความดันโลหิตสูง เป็นต้น เพราะฉะนั้นเราควรควบคุมให้ร่างกายของเรารับน้ำตาลเข้าไปในร่างกายให้อยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ซึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดและเห็นผลในการลดน้ำหนักและพลังงานคือกินน้ำตาลโดยลดปริมาณน้ำตาลลงทีละน้อย เช่น ลดปริมาณน้ำตาลในชา กาแฟ หรืออาจใช้น้ำตาลเทียม เลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง

มาดูกันว่า 7 วิธีในการลดน้ำตาลในร่างกายมีอะไรบ้าง



1.อย่าหลงคารมคำโฆษณาว่าเป็น "น้ำตาลสุขภาพ" เพราะไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลชนิดใดก็ล้วนให้พลังงานเท่ากัน
2.รับประทานผลไม้แทนขนมหวาน เพราะผลไม้มีวิตามิน แร่ธาตุ และมีเส้นใยอาหารที่ช่วยลด หรือชะลอการดูดซึมน้ำตาล และคาร์โบไฮเดรตซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอ้วน แต่ควรจำกัดปริมาณเพียงวันละ 2 อุ้งมือ เพราะในผลไม้ก็มีน้ำตาลอยู่ด้วย และเลี่ยงดื่มน้ำผลไม้ เพราะจะได้รับน้ำตาลมากเกินความต้องการ
3.ลดหรือกำจัดคาร์โบไฮเดรตแปรรู จำพวกขนมปังและเบเกอร์รี่ ซึ่งจะเปลี่ยนไปเป็นน้ำตาลในเลือดได้เร็วพอๆ กับการกินกลูโคส นอกจากนี้คาร์โบไฮเดรตที่เหลือใช้จะถูกเก็บสะสมเป็นไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นไขมันที่ร่างกายเก็บเป็นเสบียง

4.ระวังของว่างไร้ไขมัน จากความเชื่อผิดๆ ที่ว่า ถ้าอาหารไร้ไขมันจะไม่ทำให้อ้วน ความจริงอาหารไร้ไขมันยังมีน้ำตาลและปริมาณแคลอรีสูง
5.อ่านฉลากอาหารเพื่อค้นหาน้ำตาลและไขมันไม่ดี สำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน อาจใช้สารความหวานชนิดที่ให้พลังงานต่ำ ซึ่งมักระบุไว้บนฉลากว่า "ปราศจากน้ำตาล" หรือ "sugar free"
6.ระวังการใช้สารให้ความหวานเทียมหรือสารทดแทนความหวานมากเกินควร เพราะอาจทำให้ร่างกายมีความอยากน้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรตมากขึ้น
7.คำนวณปริมาณน้ำตาล โดยอ่านข้อมูลโภชนาการที่แสดงปริมาณน้ำตาลทั้งหมด เป็นกรัมแล้วหารด้วย 4 จะได้เท่ากับจำนวนน้ำตาลที่กินเข้าไปเป็นช้อนชา




ในสาระที่คล้ายกันยังมีของแถมดีๆ อีกข้อ นั่นคือเป็นความรู้ใหม่ๆ ที่เราไม่เคยสังเกตและอยากรู้ ความหมายของสีที่ปลายหลอดครีมต่างๆ ซึ่งไขปริศนาได้ดังนี้ สีน้ำเงิน=สารธรรมชาติ/สีแดง=ผสมผสานระหว่างสารธรรมชาติกับเคมี /สีดำ= ส่วนประกอบจากเคมี

ที่มา : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง , สสส.


นอกเหนือจาก 7 วิธีลดน้ำตาลในร่างกายข้างต้นนี้ยังมีอีกหลากหลายวิธีที่สามารถทำได้ ซึ่งแล้วแต่ตัวของท่านเองว่าต้องการลดน้ำตาลในร่างกายด้วยวิธีการไหน อีกอย่างหากท่านสังเกตหรือพอได้อ่านเกี่ยวกับเรื่องลดน้ำตาลในร่างกายมาบ้าง จะได้ยินได้เห็นบทความที่ว่า "ลดน้ำตาลในร่างกายแค่นี้ความอ้วนลดลงเลย" นั่นก็แสดงว่าหากเราลดได้อย่างต่อเนื่องนอกจากสุขภาพร่างกายจะดีแล้วยังทำให้หุ่นของเราดีขึ้นอีกด้วย ไม่อ้วนตุ๊ต๊ะให้คนอื่นว่าเราได้

ฝากไว้อีกเรื่องหนึ่งคือถ้าเราไม่สามารถจะลดการรับประทานน้ำตาลได้แล้ว อาจเพราะด้วยรสชาติ ความอยาก หรืออะไรก็ตาม และถ้าท่านไม่ต้องการให้เกิดโรคภัยตามมา ท่านก็ต้องเผาผลาญออกด้วยการออกกำลังกาย ซึ่งท่านทานน้ำตาลมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการมาก แล้วไม่อยากอ้วนท่านก็ต้องออกกำลังกายให้มากๆหน่อย ในทางกลับกันถ้าท่านทานน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการเพียงเล็กน้อยท่านก็ออกกำลังกายน้อยลง (แต่ถ้าแนะนำคือออกกำลังไปเถอะหากท่านมีเวลาและสะดวกที่จะทำ เพราะยังไงซะการออกกำลังกายก็เป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพร่างกายของเราอยู่แล้ว)

Wednesday, May 22, 2013

ประโยชน์ของลูกเดือย และสรรพคุณ

ประโยชน์ของลูกเดือย


ก่อนที่จะเล่าถึงประโยชน์ของลูกเดือย เรามาทำความรู้จักกับลูกเดือยกันก่อน


ลูกเดือยจัดอยู่ในกลุ่มธัญพืชประเภทคาร์โบไฮเดรต เป็นพืชพื้นเมืองแท้ๆของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีเส้นใยอาหารสูง เป็นพืชตระกูลเดียวกับข้าว โดยมีลักษณะเป็นเม็ดสีขาว เม็ดจะออกกลม ๆ รี ๆ รสชาติออกมันเล็กน้อย ลูกเดือยมีคุณค่าทางอาหารสูง เพราะมีปริมาณโปรตีน 13.84% คาร์โบ-ไฮเดรต 70.65% ใยอาหาร 0.23% ไขมัน 5.03% แร่ธาตุต่างๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะฟอสฟอรัส ซึ่งช่วยบำรุงกระดูก มีอยู่ในปริมาณสูง รวมทั้งวิตามินเอ ที่ช่วยบำรุงสายตา วิตามินบี 1 และวิตามินบี 2 โดยเฉพาะวิมามินบี 1 มีในปริมาณ มาก (มีมากกว่าข้าวกล้อง) ซึ่งช่วยแก้โรค เหน็บชาด้วย ลูกเดือยยังมีกรดอะมิโนทุกชนิดที่สูงกว่าความต้องการตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก ยกเว้นเมทไธโอนีนและไลซีน เช่น มีกรดกลูตามิกในปริมาณมากตามด้วยลูซีน, อลานีน,โปรลีน วาลีน, ฟินิลอลานีน, ไอโซลูซีน และอาร์จีนีนลดหลั่นลงมา มีกรดไขมันจำเป็นชนิดที่ไม่อิ่มตัวด้วย เช่น กรดโอเลอิค และกรดลิโนเลอิก รวมแล้วถึง 84% และเป็นกรดไขมันชนิดอิ่มตัว คือ ปาล์มิติก และสเตียริก เพียง 16% เท่านั้น (ที่มา : ลูกเดือย)

เมื่อเรารู้จักกับลูกเดือยกันแล้วมาดูกันว่าประโยชน์ของมันมีอะไรบ้าง


1. ลูกเดือยนั้นมีคุณค่าทางอาหารสูง โดยเฉพาะฟอสฟอรัสซึ่งมีสรรพคุณช่วยบำรุงกระดูกมีอยู่ในปริมาณสูง และวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตาอีกด้วย
2. รักษาโรคหูดที่มักจะเป็นเรื้อรัง ด้วยสรรพคุณของลูกเดือยมีฤทธิ์ทำให้เลือดมาเลี้ยงที่ผิวหนังดีขึ้น หรือจากฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก
3. เด็กๆ ที่รับประทานลูกเดือยเป็นประจำจะช่วยบำรุงม้ามและกระเพาะอาหาร 
4. สตรีหลังคลอดควรรับประทานลูกเดือยเพื่อบำรุงเลือด 
5. ผู้สูงอายุที่รับประทานลูกเดือยจะช่วยบำรุงการทำงานของไต

ไม่เพียงเท่านี้ประดยชน์อื่นๆของลูกเดือยยังมีอีกมา จากข้างบนที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงคร่าวๆเท่านั้น อีกส่วนหนึ่งก็ย่อมาไว้ในรูปข้างล่างเรียบร้อยแล้ว ลองๆอ่านกันเล่นๆดูได้นะ



จากประโยชน์และสรรพคุณของลูกเดือยที่ได้กล่าวมา ทำให้รู้ว่าลูกเดือยมีประโยชน์แก่ร่างกายเรามากแค่ไหน ซึ่งการรับประทานลูกเดือยเราสามารถรับประทานเมื่อไหร่ก็ได้ นำไปประยุกต์ใส่กับอาหารหรือเครื่องดื่มเพื่อเพิ่มรสชาติให้ลูกเดือยอร่อยขึ้นก็สามารถทำได้ แถมลูกเดือยสามารถหาซื้อได้ง่ายมีขายกันทั่วไปอีกด้วย

Sunday, May 12, 2013

ประโยชน์ของผักแต่ละสีมีอะไรบ้าง?

ประโยชน์ของผักแต่ละสีมีอะไรบ้าง?


สีของผักผลไม้แต่ละชนิดนั้นนอกจากจะช่วยในการเพิ่มความอยากอาหารของเราแล้ว มันยังมีความแตกต่างกันในเรื่องของสารอาหารที่จะได้รับอีกด้วย ซึ่งแต่ละสีก็มีประโยชน์ที่แตกต่างกันออกไป อาจจะคล้ายคลึงกันบ้าง ก็แล้วแต่ชนิดของผักผลไม้เหล่านั้น ซึ่งหากต้องการสุขภาพที่ดีนั้นเราก็ควรที่จะรับประทานผักผลไม้ให้ครบทั้ง 5 สี โดยประโยชน์ของแต่ละสีมีดังนี้


1. ผักผลไม้สีเขียว


พบมากในผักผลไม้สีเขียวเข้ม เช่น คะน้า ตำลึง ฯลฯ และพบได้ในผักและผลไม้สีเขียวทั่วไป เช่น แอบเปิ้ลเขียว ฝรั่ง องุ่นเขียว เป็นต้น ซึ่งในผักผลไม้สีเขียวนี้มีสารที่ชื่อว่า คลอโรฟิลด์ (Chlorophyll) ในผักผลไม้สีเขียวนี้อุดมไปด้วยสารต่อต้านการเกิดมะเร็งได้เป็นอย่างดี ทำให้ผิวพรรณของคุณเปล่งปลั่งสดใส ช่วยยับยั้งการเกิดริ้วรอย นอกจากนี้การทานผักผลไม้สีเขียวเป็นประจำจะช่วยทำให้ระบบการขับถ่ายของคุณดี ขับถ่ายคล่องเนื่องจากมีกากใยเยอะ และสารประเภทอื่นๆ ซึ่งช่วยปกป้องดีเอ็มเอไม่ให้ถูกทำลายจนกลายเป็นเนื้อร้าย รักษาหลอดเลือดให้แข็งแรง ช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงานของร่างกายและช่วยทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อผลเสียต่อสุขภาพบำรุงสมองและความจำ และบำรุงสุขภาพผู้สูงอายุ

2.  ผักผลไม้สีแดง



พบมากในมะเขือเทศ ทับทิม และ สตอเบอรี่ เชอรี่ บีทรูต แคนเบอรี่ ดอกกระเจี๊ยบ ชมพู่แดง ก็นับอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย ส่วนใครไม่ทราบชื่อของผักผลไม้ตามชื่อที่กล่าวมา ลองไปหาข้อมูลเพิ่มเติมกันดูนะ และยังมีผักผลไม้สีแดงอีกจำนวนมากที่ไม่ได้กล่าวไว้  ซึ่งในผักผลไม้สีแดงเหล่านี้ มีสารที่ชื่อว่า ไลโคปีน (Cycopene) และ เบตาไซซีน (Betacycin) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ  และเนื่องจากมีสารต่อต้านการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากจึงถือได้ว่าช่วยทำให้ระบบทางเดินปัสสาวะมีสุขภาพดีก็ว่าได้

3.  ผักผลไม้สีเหลืองหรือส้ม


พบมากในแครอท มะละกอสุก ฟักทอง ทุเรียน ขนุน ข้าวโพด สับปะรด แคนตาลูป อุดมไปด้วยวิตามินซี แคโรทีนอยด์ (ความจริงแล้วสารเบต้าแคโรทีน (Betacarotene) ก็มีอยู่ในผักผลไม้สีเข้มแทบทุกชนิด เช่น พริกแดง มะเขือเทศ ตำลึง คะน้า ผักโขม ฯลฯ ซึ่งเราสามารถกินทดแทนกันได้ แต่อาจจะได้รับสารเบต้าแคโรทีนไม่มากเท่าพืชผักสีส้มเท่านั้นเอง) และไบโอฟลาโวนอยด์ เสริมภูมิคุ้มกัน บำรุงสายตา ให้มีความกระฉับกระเฉง เป็นสารสำคัญแต่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ

4. ผักผลไม้สีม่วง


เป็นสีที่หลายๆคนอาจจะไม่คุ้นชินเท่าสีอื่นๆ ซึ่งถ้าให้ลองนึกดูก็คงจะนึกกันไม่ออก โดยผักผลไม้สีม่วงพบมากในมะเขือสีม่วง แบล็กเบอรี บลูเบอรี อัญชัน และยังมี หอมแดง กระหล่ำม่วง อีกด้วย ซึ่งมีสาร แอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ที่มีคุณสมบัติทำลายสารที่ก่อใหเเกิดมะเร็ง ช่วยขยายหลอดเลือด นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และการเกิดอัมพาตได้ด้วย

5. ผักผลไม้สีขาวและน้ำตาลอ่อน


พบมากในกระเทียม มีสารแซนโทน (xanthone) (กลุ่มของฟลาโวนอยด์) สารตัวนี้ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ลดอาการปวดข้อเข่า ต้านเชื้อโรคหลายชนิด เช่น เชื้อวัณโรค ต้านเซลล์ มะเร็ง เม็ดเลือดขาว ช่วยรักษาระดับน้ำตาล ในเลือด ให้เหมาะ และรักษาระบบภูมิคุ้ม-กันให้อยู่ในสภาพที่ดี(ปัจจุบันมีการจำหน่ายสารสกัดและเครื่องดื่มแซนโทน จากมังคุด ในประเทศสหรัฐอเมริกา) ลูกเดือย เป็นธัญพืชที่มีประโยชน์ มากต่อร่างกาย สารสำคัญในลูกเดือยที่ชื่อ กรดไซแนปติก มีฤทธิ์ต้าน อนุมูลอิสระ ในตำราการแพทย์แผนจีนใช้ลูกเดือยรักษาโรคมะเร็งและอาการอื่นๆ มานานแล้ว และปัจจุบัน ก็มีการทดลองใช้ สารสกัดไขมัน จากลูกเดือย ในการ รักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งด้วย


นี่เป็นเพียงประโยชน์คร่าวๆของผักผลไม้แต่ละสี ซึ่งหากใครต้องการข้อมูลที่มากกว่านี้แล้วลองไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมกันตามสะดวก